วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทความเรื่อง การคอรัปชั่นในระบบราชการไทย

บทความเรื่อง การคอรัปชั่นในระบบราชการไทย
              การทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัญหาแต่เก่าแก่ในสังคมไทยและสังคมโลก ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระมหากษัตริย์ต้องพึ่งพาเจ้าเมืองขุนนาง รวมทั้งผู้ทำหน้าที่ที่เจ้าภาษีนายอากรไปเก็บภาษีและส่วยจากราษฎรมาเป็นชั้นๆ และเปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นเก็บบางส่วนไว้เป็นของตนเอง และใช้เลี้ยงลูกน้องแทนเงินเดือน และบางส่วนให้รัฐบาลกลาง หรือ พระมหากษัตริย์ (ญาดา ประภาพันธ์. ระบบเจ้าภาษีนายอากรสมัยกรุงเทพฯยุคต้น, สำนักพิมพ์สร้างสรรค์, 2544.)  หากขุนนางไม่เก็บไว้เป็นของส่วนตัวมากเกินไปจนผิดสังเกต หรือจนมีคนร้องเรียนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ  ไม่ใช่เรื่องทุจริตคอรัปชั่นแต่อย่างไร  ระบบวัฒนธรรมการเก็บภาษีเช่นนี้ คงมีส่วนส่งเสริมการฉ้อราษฎร์บังหลวงในสมัยต่อมา
              ในสมัยที่ประเทศไทยมีการจัดระบบการบริหารราชการแบบตะวันตก ( รัชการที่ 5 ) คือมีการจ่ายเงินให้กับข้าราชการระดับต่างๆ หากใครเบียดบังทรัพย์สินของราชการมากกว่าเงินเดือนที่ได้จริง เริ่มมีการจับตามองว่า เป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง  ซึ่งมีนัยหมายถึงการที่ขุนนางเบียดบังรายได้งบประมาณที่เป็นของราชการ หรือไปรีดไถทรัพย์สมบัติของประชาชนไปเป็นของส่วนตัว  เนื่องจากประเทศไทยมีวัฒนธรรมแบบขุนนางเก็บภาษีและส่วยเอง  รวมทั้งวัฒนธรรมแบบผู้อุปถัมภ์ คือ ขุนนางต้องดูแลทุกข์สุขของผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์มาช้านาน เส้นแบ่งว่า อะไรคือการเก็บส่วยตามปกติ และอะไรคือการฉ้อราษฎร์บังหลวงจึงไม่ค่อยชัดเจน แม่กระนั้นก็ตาม การฉ้อราษฎร์บังหลวงในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์อาจจะมีไม่มากนัก เนื่องจากเหล่าขุนนางยำเกรงพระราชอำนาจ ทั้งในแง่มีโอกาสถูลงโทษที่รุนแรงเด็ดขาด และในแง่การผูกผันทางความเชื่อ ถ้าคดโกงพระเจ้าพื้นดินแล้วจะเป็นบาป ทำให้ชีวิตตกต่ำเลวร้ายอย่างถึงที่สุด  นอกจากนี้แล้วโอกาสที่ขุนนางสมัยก่อนจะสะสมทุนไปลงทุนต่อมีน้อยมาก รวมทั้งสมัยก่อนก็ไม่มีสินค้าฟุ่มเฟือยให้ซื้อหาได้มากมายเหมือนในสมัยที่ประเทศไทยพัฒนาเป็นทุนนิยมอุสาหกรรมมากขึ้นในภายหลัง  ขุนนางโดยทั่วไปมีฐานะความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว จึงทำให้มีค่อยมีแรงจูงใจให้ทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากนัก แต่เมื่อการเมืองไทยและเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลง  การปกครองเป็นประชาธิปไตยและทุนนิยมที่ข้าราชการนักการเมืองมีอำนาจมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ประชาชนมีค่านิยมยกย่องเงิน มีสินค้าฟุ่มเฟือยมีช่องทางจะสะสมและใช้เงินเพิ่มขึ้น  การฉ้อราษฎร์บังหลงจึงขยายตัวเพิ่มขึ้น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อประเทศไทยเกิดการขาดแคลนสินค้าที่จำเป็น  และมีช่องทางให้เกิดตลาดมืดและการชื่อราษฎร์บังหลวงกันมาก  เป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่งที่ส่งเสริมให้ทำการทุจริต คอรัปชั่นกันมากขึ้น (สนิทเจริญรัฐ. โอ้ว่าอาณาประชาราษฎร์, แพร่พิทยา, 2507 )  หลังจากนั้นการทุจริต คอรัปชั่น จึงขยายตัวมาตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อสภาพการเมืองของประเทศไทย นับตั้งแต่รัฐประหารปี พ.ศ. 2490 ต้องตกมาอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารเป็นส่วนใหญ่  เพราะการที่ชนชั้นผู้นำ ผู้บริหารมีอำนาจมากและมีโอกาสถูกตรวจสอบน้อยนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นได้มาก
สาเหตุข้อหนึ่งของการขยายตัวของปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น คือ การพัฒนาแบบทุนนิยม การด้อยพัฒนาของประเทศไทยทำให้มีช่องว่าทางอำนาจและความรู้ข้อมูลข่าวสารระหว่างชนชั้นสูงกับประชาชนมาขึ้น  กลุ่มคนที่มีอำนาจมีตำแหน่งหน้าที่ระดับสูง มีโอกาสที่จะทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย โดยที่ประชาชนไม่ค่อยมีโอกาสรู้ หรือตรวจสอบได้หรือเข้าถึงประชาชนบางส่วนจะรู้บ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะประชาชนอยู่กระจัดกระจาย ไม่มีกลุ่มองค์กรกลไกในการตรวจสอบ  ยิ่งเป็นยุคที่ปกครองรัฐบาลเผด็จการทหาร เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ช่วงปลาย ( พ.ศ.2490-2500 ) จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัตน์ (พ.ศ.2500-2506 ) และจอมพล ถนอม   กิตติขจร ( พ.ศ.2506-2510 ) ไม่มีรัฐสภาตรวจสอบ  หนังสือพิมพ์และองค์กรประชาชนไม่ค่อยมีเสรีภาพ นักการเมืองยิ่งมีโอกาสให้นักการเมืองทุจริตคอรัปชั่นกันมาก  รวมทั้งนักการเมืองใช้ข้าราชการเป็นเครื่องมือและเปิดทางให้ข้าราชการให้ทุจริตคอรัปชั่นแบบ “ส่งส่วย” ให้ผู้บังคับบัญชา หรือแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ด้วยจึงทำให้เกิดการร่วมมือกันคอรัปชั่นโดยไม่ค่อยมีการตรวจสอบคานอำนาจกัน แม้ในบางยุคสมัยจะมีข้าราชการผู้ใหญ่ซื่อตรง และที่คอยทัดทานนักการเมืองอยู่บ้าง เช่น ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ ช่วงปี พ.ศ. 2493-2516 แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยและทำหน้าที่ได้จำกัด (วิทยา  เชียงกูล. ศึกษาบทบาทและความคิด อาจารย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น