วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทความ สุนัข.... เร่รอน

สุนัข.... เร่รอน 
โดย นส.ภัทรวรรณ เรืองสุกใส

 การดูแลสัตว์และการเมตตาสัตว์เป็นสิ่งที่ดีที่ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นตั้งแต่เยาวัย จึงจะทำให้สัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลที่ดีได้ ทว่าความเมตตาอย่างเดียวในท่ามกลางสังคมและสิ่งแวดล้อมปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสัตว์สี่ขาใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นหมาหรือแมว ความรักและความรู้เป็นสิ่งที่ต้องคู่กันมาด้วย สำหรับหมานั้น คนรักก็มาก คนชังก็ไม่น้อย ไหนจะปัญหาเสียงหมาที่เห่าดังไปไกลถึงท้ายซอย บางครั้งหมาหลุดออกมาจากรั้วบ้านกัดกันลุกลามไปถึงคนเลี้ยงที่อยู่บ้านใกล้เคียง จนเป็นเหตุให้มีปากมีเสียงแข่งกับเสียงหมาที่กำลังกัดกันอย่างมันเขี้ยว ถ้าเบาะๆ ก็เพียงปะทะลมปาก ถ้าหนักๆ ก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือหัวร้างข้างแตก ถ้าขั้นรุนแรงก็พาไปวัดบ้าง ไปโรงพยาบาลบ้าง และรวมถึงไปโรงพัก
 
เหล่านี้มีที่มาที่ไปจากการเลี้ยง "หมา" ไม่ว่าจะเป็นหมาในรั้วบ้าน หมาตามถนนหนทางที่มีผู้ใจบุญ สุนทานนำอาหารมาให้หมากินเป็นเวลา นี่ยังไม่พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มีหมาเป็นพาหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคพิษสุนัขบ้าที่ติดต่อถึงคนแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะเสียชีวิตทุกคน พบว่า ในแต่ละปีทั่วประเทศมีคนไทยถูกหมาที่มีเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้ากัดและเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการและเสียชีวิตมากกว่า ๑๐๐ คนต่อ

  รากฐานทางความเชื่อในสังคมไทย เรื่องบาปบุญและความเมตตาต่อสัตว์ อาจเป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปัญหาจากสุนัขเร่ร่อนของไทยเป็นเรื่องยากต่อการแก้ไข ความเชื่อเรื่องผลแห่งการทำบาปจากการฆ่าสัตว์ทำให้การนำมาตรการที่เข้มงวด เช่น การกำจัดสุนัข ได้รับกระแสต่อต้านจากสังคมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ความเมตตา ความเชื่อเรื่องการทำบุญให้ทาน อาจเป็นแรงจูงใจให้คนไทยช่วยเหลือสุนัขเร่ร่อนด้วยการให้อาหาร โดยมีคนบางส่วนอาจใช้ประโยชน์จากสุนัขที่เลี้ยงไว้ (เช่นเฝ้าบ้าน) แต่ไม่ได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูอย่างแท้จริง ทำให้สุนัขขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น และเร่ร่อนไปมาได้อย่างอิสระ ก่อให้เกิดเป็นปัญาต่อสังคมตามมา เมื่อไม่สามารถใช้มาตรการของการกำจัดสุนัขได้ มาตรการอื่นๆที่ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น การจำกัดบริเวณ และให้การเลี้ยงดู การฉีดวัคซีนและทำหมัน คงทำได้เพียงชั่วคราวเพราะงบประมาณของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมี จำกัด
ดังนั้น การแก้ปัญหาสุนัขเร่ร่อนของคนไทย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่และใช้หลายๆ มาตรการร่วมกัน ผู้เขียนชื่นชอบกระแส พระราชดำรัสฯ ที่ให้ไว้กับผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ (คุณสมัคร สุนทรเวช) ที่ว่าควรสนับสนุนให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกสุนัข Mid-Road ไปเลี้ยง และต้องเลี้ยงอย่างจริงจัง ซึ่งถ้าหากประชาชนสามารถช่วยกันสนองตาม กระแสพระราชดำรัสฯ ดังกล่าว โดยช่วยกันนำสุนัขเร่ร่อนไปเลี้ยง อย่างมีความรับผิดชอบตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนแล้ว จะเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด และเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้เป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้หน่วยงานของรัฐควรมีการรณรงค์เพื่อปลูกฝังค่านิยมให้คนไทยมีความ รักร่วมกับความรับผิดชอบต่อสุนัขที่เลี้ยงอยู่ตลอดชีวิต นอกจากนี้รัฐควรให้บริการเรื่องการทำหมันฟรี (ควรทำหมันก่อนแจก) และฉีดวัคซีนราคาถูก (ราคาต้นทุน หรือกำไรน้อย) ให้กับสุนัขเร่ร่อนที่คนนำไปอุปการะ สำหรับมาตรการใหม่ของกรุงเทพมหานครคือ การจัดทำทะเบียนสุนัขนั้น น่าจะเป็นผลดีอยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยอาจใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการสำรวจจำนวนประชากรสุนัข บ้าน แต่ก่อนที่จะประกาศให้มีผลบังคับใช้นั้น รัฐควรมีมาตรการรองรับที่ชัดเจนต่อการดำเนินการกับสุนัขที่ไม่ได้รับการขึ้น ทะเบียนด้วย ไม่เช่นนั้นนอกจากจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าของสุนัขที่มีความรับผิดชอบ แล้ว กลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมาตรการการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อน
แต่ผู้เขียนยังไม่เห็น ด้วยกับเรื่องของการบังคับฝัง  ไมโครชิฟ  ให้กับสุนัขเพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจนต่อการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อนเลย ทั้งนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าเจ้าของที่รักสุนัขจริงจะไม่ทอดทิ้งสุนัขของตนอยู่แล้ว แม้ว่าสุนัขจะหลงทาง ( มีจำนวนไม่มากนัก ) หายไป เจ้าของสุนัขกลุ่มนี้น่าจะพยายามตามหาสุนัขของตนเองแทบทุกวิถีทางอยู่แล้ว ดังนั้นการแก้ปัญหาดังกล่าว อาจเป็นเพียงการจัดหน่วยงานและสถานที่รองรับสุนัขหลงทาง ( Dog Shelter  โดยมีสถานที่ตั้งชัดเจน และติดต่อสะดวกเพื่อให้เจ้าของสุนัขสามารถติดต่อสอบถามได้หรือมีเว็บไซต์  แสดงรูปภาพและข้อมูลสุนัขที่เก็บมาเลี้ยงไว้เพื่อให้เจ้าของสุนัขสามารถตรวจ สอบหาสุนัขที่หายไปได้ ดังนั้น จึงยังไม่เห็นด้วยกับการฝัง  ไมโครชิฟ  เพียงเพื่อป้องกันสุนัขหลงทางและเห็นว่าการฝังไมโครชิฟ เพื่อใช้ประโยชน์ในการตามหาสุนัขนั้น ควรเป็นเรื่องของการสมัครใจของเจ้าของสุนัขเองมากกว่าเช่นเดียวกัน ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับการบังคับฝัง  ไมโครชิฟ  ในสุนัขเพียงเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาที่เจ้าของสุนัขทิ้งขว้างสุนัขของตนให้กลาย เป็นสุนัขเร่ร่อย เพราะถ้าหากผู้เลี้ยงทราบตำแหน่งของการฝังแล้ว การผ่าผิวหนังเพื่อนำชิ้น  ไมโครชิฟ ”  ขนาดเม็ดข้าวสาร  ออกจากตัวสุนัขสามารถกระทำเองได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะทิ้งขว้างจริง คงไม่มีความเมตตา หรือสนใจถึงความเจ็บปวดของสุนัขจากการผ่าเพื่อนำชิ้น  ไมโครชิฟ  ออกจากตัวสุนัขก่อนทิ้งขว้าง แล้วแจ้งว่าสุนัขตายหรือหายไป ดังนั้นการบังคับฝัง  ไมโครชิฟ  อาจจะไม่ก่อประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่รอ่นที่มาจากการทิ้งขว้างสุนัข เลย นอกจากนี้ การฝัง  ไมโครชิฟ  กับสุนัขเร่ร่อนนั้น นับว่าเป็นการสูญเปล่าที่ไม่เห็นน่าจะได้ประโยชน์จากการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ ร่อนเลย
ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่ารัฐควรน้อมรับกระแสพระราชดำรัสฯ มาไตร่ตรองเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมมารองรับการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อน ยก ตัวอย่างเช่น การปลูกจิตสำนึกให้คนไทยมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อการเลี้ยงสุนัข การส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐนำสุนัขเร่ร่อยมาฝึกเพื่อใช้ในการราชการ และอาจรวมไปถึงการใช้งานในภาคเอกชน หรือส่วนบุคคล รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนเจ้าของที่จะช่วยอุปการะสุนัขเร่ร่อน เช่น การทำหมันฟรีก่อนรับสุนัข การบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้สุนัขเร่ร่อนที่ได้รับอุปการะในราคาถูกเป็นประจำทุกปี ด้วยเหตุนี้การแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อนจึงเป็นงานของทุกคนในสังคม ถ้าคนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความจำเป็นของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้ความสนับสนุนร่วมมือ ร่วมใจกันอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงเพียงความรู้สึกพึงพอใจหรือเพียงเพื่อประโยชน์เล็กน้อยส่วน ตัว ความสำเร็จของการแก้ไขปัญหาจากสุนัขเร่ร่อนจะเป็นความจริงขึ้นมาได้โดยเร็ว


บทความข้างต้นเป็นบทความที่มีมุมมองน่าสนใจในการแก้ในปัญหาสุนัขเรร่อน เป็นที่ทราบกันดีว่าต้นเหตุของสุนัขจรจัดเกิดจากการขาดความรับผิดชอบของตน อย่างไรก็ตามการสร้างสำนึกและความรับผิดชอบและการกำจัดสุนัขจรจัดให้หมดไปก็เป็นไปไม่ได้ตราบใดที่ยังมีการขยายพันธุ์หรือมีคนนำมาปล่อยเพิ่มในขณะเดียวกันจำนวนสุนัขแต่ละพื้นที่ก็มีส่วนป้องกันม่ไให้สุนัขอื่นเข้ามาอาศัยนอกจากสุนัขที่เกิดจากฝูงเดียวกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดจึงเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อน และการนำสุนัขไปทำลายไม่ใช้วิธีที่ได้ผลและไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม เพราะที่ผ่านมามีการกำจัดสุนัขจรจัดด้วยการทำลายปีละ 4-5 หมื่นตัวแต่ยังคงมีผู้นำมาปล่อยบวกกับการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ปัละ 4-5 หมื่นตัวทุกปี การทำลายสุนัขจึงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา

ที่มา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น