วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
บทความ ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นไทย
ในปัจจุบันสังคมของประเทศก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์และการเปิดประเทศอาเซียน
ข้อมูลข่าวสารของโลกสมัยใหม่ แพร่กระจายสู่สังคมต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ทําให้อิทธิพลของ
วัฒนธรรมตะวันตกได้ครอบงําวิถีชีวิตของวัยรุ่นไทยจํานวนไม่น้อยทั้งในด้านการรับประทาน
อาหารฟาสท์ฟูด การแต่งกาย การคบเพื อนต่างเพศ สังคมของวัยรุ่นไทยกลายเป็นสังคมบริโภคที่
แทบจะไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ เด็กและเยาวชนถือเป็นกำลังสําคัญต่อการพัฒนา
ประเทศในอนาคต แต่ในสภาพสังคมไทยปัจจุบันมีปัจจัยหลายด้านที ส่งผลกระทบที เป็นปัญหา
และอุปสรรคต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที ดีของเด็กและเยาวชนไทย พฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น
ในปัจจุบันนี้ออกนอกกรอบดั้งเดิมมากขึ้นทุกที เช่น การเลือกคู่ครองจะถือเอาความรักเป็น
สําคัญไม่ชอบการคลุมถุงชน การคบเพื่ อนต่างเพศ เป็นไปอย่างอิสรเสรี เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่ อง
น่าละอาย หญิงสาวให้ความสําคัญในการครองตัว เป็นหญิงพรหมจรรย์ถึงวันแต่งงานน้อยลง
ประกอบกับความเข้าใจที ไม่ถูกต้องในเรื่ องเพศ ทําให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมทางเพศที ไม่ถูกต้อง
เหมาะสม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การเสพสื อลามกอนาจาร การสําส่อนทางเพศ
การเบี ยงเบนทางเพศ เช่น การรักร่วมเพศ เป็นต้น ปัญหาวัยรุ่น โดยเฉพาะในเรื อง “ปัญหา
พฤติกรรมทางเพศที ไม่เหมะสมของวัยรุ่น” กำลังจะกลายเป็นปัญหาสังคมที รุนแรงเพิ่มขึ้นทุก
วัน จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ เกิดขึ้นแทบไม่เว้นในแต่ละวัน ทั้งเรื องเด็กผู้ชายรุมโทรม
และข่มขืนเด็กผู้หญิง หรือ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรจนตั้งครรภ์ การทําแท้ง รวมถึงการ
ติดโรคทางเพศสัมพันธ์ อาทิ โรคเอดส์ที่ขณะนี้ตัวเลขวัยรุ่นไทยติด “โรคร้าย” นี้ เพิ่มสูงขึ้นอย่าง
น่าใจหาย และที เป็นข่าวเกรียวกราวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื อไม่นานมานี้ คือเรื องการแสดง
พฤติกรรมทางเพศที ไม่เหมาะสมบนรถเมล์ การไปเช่าบ้านหรือโรงแรมเพื่ อมีเพศสัมพันธ์กันของวัยรุ่น และที ต้องตกตะลึงไม่น้อย ก็คือ คลิปนักเรียนชายหญิงแอบมีความสัมพันธ์กันในห้องนํ้าโรงเรียนว่อน
อินเทอร์เน็ต จะเห็นได้ว่าปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้นก็กำลังเริ่มจะเป็นปัญหาใหญ่ ของสังคมแล้วเกือบทุกๆด้าน ทําไมวัยรุ่นไทยปัจจุบันนี้ถึงได้มีค่านิยมทางด้านเพศแตกต่างไปจากอดีตและก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมามากมายเพียงนี้
ก่อนอื่นต้องทําความเข้าใจก่อนว่า คําว่า "เพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน" (Premarital Sex)
ของภาษาอังกฤษที ใช้กันมีความหมายโดยนัยยะถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยที ฝ่ายหญิงยังไม่พร้อม
ในการมีลูกโดยไม่ได้หมายความว่าการมีเพศสัมพันธ์การการจัดงานแต่งงานหรือจดทะเบียน
สมรสกัน ซึ งให้ความหมายที ใกล้เคียงกับคําภาษาไทยที ใช้ว่า "เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร"
วัยอันควร หมายถึง วัยที มีความพร้อมทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และความสามารถ
ในการเลี้ยงตนเองและครอบครัวมีเวลารู้จักการเรียนรู้ซึ งกันและกันจนเกิดความผูกพันรักใคร่กันอย่าง
จริงจังวัยรุ่นหรือวัยเรียนจึงจัดอยู่ในวัยที ยังไม่ถึงวัยอันควร พวกเขาจึงไม่ควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพราะเป็นวัยที ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาก็จะไม่สามารถที จะรับผิดชอบทั้งตัวเอง และเด็กที จะ
เกิดมาจากการพลาดพลัั้งได้
บทความเรื่อง ปัญหาพลังงาน
บทความเรื่อง ปัญหาพลังงาน
บทนำ
ในปัจจุบัน ปัญหา เรื่องของพลังงาน เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้ทางหน่วยงาน หลายๆ งานรวมทั้งนักวิจัยในด้านพลังงานต่างๆ ร่วมกันค้นคว้า เพื่อสรรหา พลังงาน ชนิดอื่นที่จะมาทดแทนพลังงานหลักที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งก็คือ พลังงานเชื้อเพลิงน้ำมัน ที่ไม่สามารถผลิตทดแทนส่วนที่ใช้ไปได้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ผสมผสานกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทำให้นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ได้คิดค้นพลังงาน เพื่อทดแทนพลังงานที่ไม่สามารถ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ จึงทำให้เกิด “พลังงานทางเลือก” หรือ “พลังงานทดแทน” พลังงานทางเลือกนี้ หมายถึงพลังงานที่สะอาด สามารถนำมาหมุนเวียนใช้ได้ต่อเนื่องไม่มีวันหมด และยังเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษต่างๆ ต่อโลกด้วย พลังงานทดแทนที่สำคัญก็คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานจากลม พลังงานความร้อนใต้ภิภพ และพลังงานจากชีวมวล
บทความเรื่อง การคอรัปชั่นในระบบราชการไทย
บทความเรื่อง การคอรัปชั่นในระบบราชการไทย
การทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัญหาแต่เก่าแก่ในสังคมไทยและสังคมโลก ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระมหากษัตริย์ต้องพึ่งพาเจ้าเมืองขุนนาง รวมทั้งผู้ทำหน้าที่ที่เจ้าภาษีนายอากรไปเก็บภาษีและส่วยจากราษฎรมาเป็นชั้นๆ และเปิดทางให้เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นเก็บบางส่วนไว้เป็นของตนเอง และใช้เลี้ยงลูกน้องแทนเงินเดือน และบางส่วนให้รัฐบาลกลาง หรือ พระมหากษัตริย์ (ญาดา ประภาพันธ์. ระบบเจ้าภาษีนายอากรสมัยกรุงเทพฯยุคต้น, สำนักพิมพ์สร้างสรรค์, 2544.) หากขุนนางไม่เก็บไว้เป็นของส่วนตัวมากเกินไปจนผิดสังเกต หรือจนมีคนร้องเรียนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องทุจริตคอรัปชั่นแต่อย่างไร ระบบวัฒนธรรมการเก็บภาษีเช่นนี้ คงมีส่วนส่งเสริมการฉ้อราษฎร์บังหลวงในสมัยต่อมาในสมัยที่ประเทศไทยมีการจัดระบบการบริหารราชการแบบตะวันตก ( รัชการที่ 5 ) คือมีการจ่ายเงินให้กับข้าราชการระดับต่างๆ หากใครเบียดบังทรัพย์สินของราชการมากกว่าเงินเดือนที่ได้จริง เริ่มมีการจับตามองว่า เป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งมีนัยหมายถึงการที่ขุนนางเบียดบังรายได้งบประมาณที่เป็นของราชการ หรือไปรีดไถทรัพย์สมบัติของประชาชนไปเป็นของส่วนตัว เนื่องจากประเทศไทยมีวัฒนธรรมแบบขุนนางเก็บภาษีและส่วยเอง รวมทั้งวัฒนธรรมแบบผู้อุปถัมภ์ คือ ขุนนางต้องดูแลทุกข์สุขของผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์มาช้านาน เส้นแบ่งว่า อะไรคือการเก็บส่วยตามปกติ และอะไรคือการฉ้อราษฎร์บังหลวงจึงไม่ค่อยชัดเจน แม่กระนั้นก็ตาม การฉ้อราษฎร์บังหลวงในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์อาจจะมีไม่มากนัก เนื่องจากเหล่าขุนนางยำเกรงพระราชอำนาจ ทั้งในแง่มีโอกาสถูลงโทษที่รุนแรงเด็ดขาด และในแง่การผูกผันทางความเชื่อ ถ้าคดโกงพระเจ้าพื้นดินแล้วจะเป็นบาป ทำให้ชีวิตตกต่ำเลวร้ายอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้แล้วโอกาสที่ขุนนางสมัยก่อนจะสะสมทุนไปลงทุนต่อมีน้อยมาก รวมทั้งสมัยก่อนก็ไม่มีสินค้าฟุ่มเฟือยให้ซื้อหาได้มากมายเหมือนในสมัยที่ประเทศไทยพัฒนาเป็นทุนนิยมอุสาหกรรมมากขึ้นในภายหลัง ขุนนางโดยทั่วไปมีฐานะความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดีอยู่แล้ว จึงทำให้มีค่อยมีแรงจูงใจให้ทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากนัก แต่เมื่อการเมืองไทยและเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นประชาธิปไตยและทุนนิยมที่ข้าราชการนักการเมืองมีอำนาจมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ประชาชนมีค่านิยมยกย่องเงิน มีสินค้าฟุ่มเฟือยมีช่องทางจะสะสมและใช้เงินเพิ่มขึ้น การฉ้อราษฎร์บังหลงจึงขยายตัวเพิ่มขึ้น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อประเทศไทยเกิดการขาดแคลนสินค้าที่จำเป็น และมีช่องทางให้เกิดตลาดมืดและการชื่อราษฎร์บังหลวงกันมาก เป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่งที่ส่งเสริมให้ทำการทุจริต คอรัปชั่นกันมากขึ้น (สนิทเจริญรัฐ. โอ้ว่าอาณาประชาราษฎร์, แพร่พิทยา, 2507 ) หลังจากนั้นการทุจริต คอรัปชั่น จึงขยายตัวมาตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อสภาพการเมืองของประเทศไทย นับตั้งแต่รัฐประหารปี พ.ศ. 2490 ต้องตกมาอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารเป็นส่วนใหญ่ เพราะการที่ชนชั้นผู้นำ ผู้บริหารมีอำนาจมากและมีโอกาสถูกตรวจสอบน้อยนำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นได้มาก
สาเหตุข้อหนึ่งของการขยายตัวของปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น คือ การพัฒนาแบบทุนนิยม การด้อยพัฒนาของประเทศไทยทำให้มีช่องว่าทางอำนาจและความรู้ข้อมูลข่าวสารระหว่างชนชั้นสูงกับประชาชนมาขึ้น กลุ่มคนที่มีอำนาจมีตำแหน่งหน้าที่ระดับสูง มีโอกาสที่จะทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย โดยที่ประชาชนไม่ค่อยมีโอกาสรู้ หรือตรวจสอบได้หรือเข้าถึงประชาชนบางส่วนจะรู้บ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะประชาชนอยู่กระจัดกระจาย ไม่มีกลุ่มองค์กรกลไกในการตรวจสอบ ยิ่งเป็นยุคที่ปกครองรัฐบาลเผด็จการทหาร เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ช่วงปลาย ( พ.ศ.2490-2500 ) จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ (พ.ศ.2500-2506 ) และจอมพล ถนอม กิตติขจร ( พ.ศ.2506-2510 ) ไม่มีรัฐสภาตรวจสอบ หนังสือพิมพ์และองค์กรประชาชนไม่ค่อยมีเสรีภาพ นักการเมืองยิ่งมีโอกาสให้นักการเมืองทุจริตคอรัปชั่นกันมาก รวมทั้งนักการเมืองใช้ข้าราชการเป็นเครื่องมือและเปิดทางให้ข้าราชการให้ทุจริตคอรัปชั่นแบบ “ส่งส่วย” ให้ผู้บังคับบัญชา หรือแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ด้วยจึงทำให้เกิดการร่วมมือกันคอรัปชั่นโดยไม่ค่อยมีการตรวจสอบคานอำนาจกัน แม้ในบางยุคสมัยจะมีข้าราชการผู้ใหญ่ซื่อตรง และที่คอยทัดทานนักการเมืองอยู่บ้าง เช่น ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ ช่วงปี พ.ศ. 2493-2516 แต่ก็เป็นคนส่วนน้อยและทำหน้าที่ได้จำกัด (วิทยา เชียงกูล. ศึกษาบทบาทและความคิด อาจารย์
บทความวิชาการ ปัญหาน้ำท่วม
บทความวิชาการ
ปัญหาน้ำท่วม
น้ำท่วมเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากฝนที่ตกในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำมีปริมาณมากและตกติดต่อกันเป็นเวลานาน จนเกิดน้ำไหลบ่าเหนือผิวดินลงสู่ร่องน้ำลำธาร และ ในแม่น้ำมีปริมาณมากกว่าปกติ ซึ่งในขณะที่นำจำนวนมากไหลไปตามร่องน้ำ ลำธาร และแม่น้ำนั้น หากลำน้ำตอนใดไม่สามารถรับปริมาณน้ำทั้งหมดให้ไหลอยู่เฉพาะในตัวลำน้ำได้ก็จะทำให้น้ำมีระดับล้นสูงกว่าตลิ่ง แล้วไหลล้นฝั่งบ่าไปท่วมพื้นที่สองฝั่งลำน้ำหรืออาจไหลไปท่วมขัง ตามที่ลุ่มน้ำไกลออกไปเป็นบริเวณกว้างในกรณีเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตชุมชน หรือท่วมพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร อาจทำให้ทรัพย์สินและพืชผลจำนวนมากของประชาชน ตลอดจนส่งก่อสร้างต่างๆ ได้รับความเสียหาย เรียกว่า "อุทกภัย" เช่น อุทกภัยเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ในบริเวณภาคกลาง ซึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตโครงการป้องกันและบรรเทาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงมีจุดม่งหมายเพื่อการแก้ไขป้องกัน หรือช่วยบรรเทาปัญหาในการที่น้ำในแม่น้ำลำคลองซึ่งมีระดับสูงในฤดูน้ำหลาก ไม่ให้น้ำนั้นไหลบ่าเข้าไปท่วมพื้นที่และทำความเสียหายให้กับพืชที่ปลูกหรือท่วมพื้นที่ในเขตชุมชนได้รับความเสียหายด้วยวิธีการที่พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับสภาพท้องที่ ไม่มีผลกระทบในการทำลายสภาวะแวดล้อมและธรรมชาติตลอดจนเสียค่าใช้จ่ายน้อยและได้รับประโยชน์คุ้มต่อการลงทุนดังวิธีการป้องกันและบรรเทาน้ำท่วมที่สำคัญวิถีชีวิตของชาวกรุงเทพมหานครผูกพันกับแม่น้ำมาตั้งแต่อดีต ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บน ที่ราบลุ่มตอนปลายแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเอื้ออำนวยต่อการเกษตร มีการขุดลอกคูคลองหลายสายเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำในการ อุปโภค บริโภค นอกจากนี้ยังถูกใช้ในการระบายน้ำ และคมนาคมขนส่ง ด้วยเหตุที่มีเส้นทาง ระบายน้ำมากมาย ปัญหาน้ำท่วมในอดีตจึงไม่รุนแรง และสร้างความ เสียหายให้กับชาวกรุงเทพฯ มากนัก ปัจจุบันกรุงเทพมหานครในฐานะเมืองหลวง และศูนย์กลางธุรกิจของประเทศ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร การเปลี่ยนแปลงทางการภาพเพื่อรองรับการเติบโตขึ้นของเมือง การเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ที่ดินจากเพื่อการเกษตร กลายเป็นเพื่อที่อยู่อาศัย ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงมากกว่าเดิม และ จำเป็นต้องรีบดำเนินการแก้ไข
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้
กรุงเทพมหานครตั้งอยู่ในเขตมรสุม นอกจากฝนที่ได้รับอิทธิพลมาจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปี ประมาณ 1,400 มม.แล้วยังมีฝนที่มาจากพายุโซนร้อน และดีเปรสชั่น ฝนที่ตกหนักในระยะเวลาอันสั้นส่งผลให้เกิด น้ำท่วมขังชั่วคราวปริมาณน้ำท่าจากทางเหนือที่ไหลผ่านกรุงเทพมหานคร ในปีที่น้ำน้อยจะประมาณ 1,000 - 2,000 ลบ.ม./วินาที ส่วนในปีที่น้ำมากจะประมาณ4,000 - 5,000 ลบ.ม./วินาที ในขณะที่แม่น้ำเจ้าพระยามีความสามารถในการลำเลียงน้ำได้โดยไมล้นตลิ่งประมาณ 2,000 - 3,000 ลบ.ม./วินาที ปริมาณน้ำที่มากกว่าความสามารถในการลำเลียงของแม่น้ำเป็นเหตุให้ เกิดน้ำท่วมบริเวณริมแม่น้ำระดับน้ำในแม่น้ำเจ้ำพระยาขึ้นอยู่กับอิทธิพลการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถหนุนได้สูงถึง 2.1 ม.รทก. (ระดับน้ำทะเลปานกลาง)
ถ้าน้ำทะเลหนุนในช่วงระยะเวลาเดียวกับน้ำเหนือไหลผ่าน จะทำให้น้ำล้นท่วมตลิ่งได้ในฤดูน้ำหลาก
ลักษณะทางกายภาพของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ชุมชนเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีปัญหาการใช้ที่ดินไม่ถูกต้อง เช่น ถมที่เพื่อการก่อสร้างการรุกล้ำคลองสาธารณะ ส่งผลให้เส้นทางลำเลียงน้ำลดลง ระบบระบายน้ำเดิมไม่สามารถรอง รับการขยายตัวของชุมชนได้ทัน
ปัญหาแผ่นดินทรุดเนื่องจากการสูบน้ำบาดาล ทำให้พื้นที่ในกรุงเทพฯ เดิมซึ่งเป็นพื้นที่ราบต่ำอยู่แล้วทรุดตัวลงมากกว่าเดิม เมื่อเกิดน้ำท่วมขังจึงยากที่จะระบายออกจากพื้นที่ได้
ที่มา
บทความ สุนัข.... เร่รอน
สุนัข.... เร่รอน ”
โดย นส.ภัทรวรรณ เรืองสุกใส
การดูแลสัตว์และการเมตตาสัตว์เป็นสิ่งที่ดีที่ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นตั้งแต่เยาวัย จึงจะทำให้สัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลที่ดีได้ ทว่าความเมตตาอย่างเดียวในท่ามกลางสังคมและสิ่งแวดล้อมปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสัตว์สี่ขาใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นหมาหรือแมว ความรักและความรู้เป็นสิ่งที่ต้องคู่กันมาด้วย สำหรับหมานั้น คนรักก็มาก คนชังก็ไม่น้อย ไหนจะปัญหาเสียงหมาที่เห่าดังไปไกลถึงท้ายซอย บางครั้งหมาหลุดออกมาจากรั้วบ้านกัดกันลุกลามไปถึงคนเลี้ยงที่อยู่บ้านใกล้เคียง จนเป็นเหตุให้มีปากมีเสียงแข่งกับเสียงหมาที่กำลังกัดกันอย่างมันเขี้ยว ถ้าเบาะๆ ก็เพียงปะทะลมปาก ถ้าหนักๆ ก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือหัวร้างข้างแตก ถ้าขั้นรุนแรงก็พาไปวัดบ้าง ไปโรงพยาบาลบ้าง และรวมถึงไปโรงพัก
เหล่านี้มีที่มาที่ไปจากการเลี้ยง "หมา" ไม่ว่าจะเป็นหมาในรั้วบ้าน หมาตามถนนหนทางที่มีผู้ใจบุญ สุนทานนำอาหารมาให้หมากินเป็นเวลา นี่ยังไม่พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มีหมาเป็นพาหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคพิษสุนัขบ้าที่ติดต่อถึงคนแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะเสียชีวิตทุกคน พบว่า ในแต่ละปีทั่วประเทศมีคนไทยถูกหมาที่มีเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้ากัดและเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการและเสียชีวิตมากกว่า ๑๐๐ คนต่อ
เหล่านี้มีที่มาที่ไปจากการเลี้ยง "หมา" ไม่ว่าจะเป็นหมาในรั้วบ้าน หมาตามถนนหนทางที่มีผู้ใจบุญ สุนทานนำอาหารมาให้หมากินเป็นเวลา นี่ยังไม่พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มีหมาเป็นพาหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคพิษสุนัขบ้าที่ติดต่อถึงคนแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะเสียชีวิตทุกคน พบว่า ในแต่ละปีทั่วประเทศมีคนไทยถูกหมาที่มีเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้ากัดและเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการและเสียชีวิตมากกว่า ๑๐๐ คนต่อ
รากฐานทางความเชื่อในสังคมไทย เรื่องบาปบุญและความเมตตาต่อสัตว์ อาจเป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปัญหาจากสุนัขเร่ร่อนของไทยเป็นเรื่องยากต่อการแก้ไข ความเชื่อเรื่องผลแห่งการทำบาปจากการฆ่าสัตว์ทำให้การนำมาตรการที่เข้มงวด เช่น การกำจัดสุนัข ได้รับกระแสต่อต้านจากสังคมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ความเมตตา ความเชื่อเรื่องการทำบุญให้ทาน อาจเป็นแรงจูงใจให้คนไทยช่วยเหลือสุนัขเร่ร่อนด้วยการให้อาหาร โดยมีคนบางส่วนอาจใช้ประโยชน์จากสุนัขที่เลี้ยงไว้ (เช่นเฝ้าบ้าน) แต่ไม่ได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูอย่างแท้จริง ทำให้สุนัขขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น และเร่ร่อนไปมาได้อย่างอิสระ ก่อให้เกิดเป็นปัญาต่อสังคมตามมา เมื่อไม่สามารถใช้มาตรการของการกำจัดสุนัขได้ มาตรการอื่นๆที่ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น การจำกัดบริเวณ และให้การเลี้ยงดู การฉีดวัคซีนและทำหมัน คงทำได้เพียงชั่วคราวเพราะงบประมาณของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมี จำกัด
ดังนั้น การแก้ปัญหาสุนัขเร่ร่อนของคนไทย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่และใช้หลายๆ มาตรการร่วมกัน ผู้เขียนชื่นชอบกระแส พระราชดำรัสฯ ที่ให้ไว้กับผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ (คุณสมัคร สุนทรเวช) ที่ว่าควรสนับสนุนให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกสุนัข Mid-Road ไปเลี้ยง และต้องเลี้ยงอย่างจริงจัง ซึ่งถ้าหากประชาชนสามารถช่วยกันสนองตาม กระแสพระราชดำรัสฯ ดังกล่าว โดยช่วยกันนำสุนัขเร่ร่อนไปเลี้ยง อย่างมีความรับผิดชอบตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนแล้ว จะเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด และเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้เป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้หน่วยงานของรัฐควรมีการรณรงค์เพื่อปลูกฝังค่านิยมให้คนไทยมีความ รักร่วมกับความรับผิดชอบต่อสุนัขที่เลี้ยงอยู่ตลอดชีวิต นอกจากนี้รัฐควรให้บริการเรื่องการทำหมันฟรี (ควรทำหมันก่อนแจก) และฉีดวัคซีนราคาถูก (ราคาต้นทุน หรือกำไรน้อย) ให้กับสุนัขเร่ร่อนที่คนนำไปอุปการะ สำหรับมาตรการใหม่ของกรุงเทพมหานครคือ การจัดทำทะเบียนสุนัขนั้น น่าจะเป็นผลดีอยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยอาจใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการสำรวจจำนวนประชากรสุนัข บ้าน แต่ก่อนที่จะประกาศให้มีผลบังคับใช้นั้น รัฐควรมีมาตรการรองรับที่ชัดเจนต่อการดำเนินการกับสุนัขที่ไม่ได้รับการขึ้น ทะเบียนด้วย ไม่เช่นนั้นนอกจากจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าของสุนัขที่มีความรับผิดชอบ แล้ว กลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมาตรการการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อน
แต่ผู้เขียนยังไม่เห็น ด้วยกับเรื่องของการบังคับฝัง “ ไมโครชิฟ ” ให้กับสุนัขเพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจนต่อการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อนเลย ทั้งนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าเจ้าของที่รักสุนัขจริงจะไม่ทอดทิ้งสุนัขของตนอยู่แล้ว แม้ว่าสุนัขจะหลงทาง ( มีจำนวนไม่มากนัก ) หายไป เจ้าของสุนัขกลุ่มนี้น่าจะพยายามตามหาสุนัขของตนเองแทบทุกวิถีทางอยู่แล้ว ดังนั้นการแก้ปัญหาดังกล่าว อาจเป็นเพียงการจัดหน่วยงานและสถานที่รองรับสุนัขหลงทาง ( Dog Shelter โดยมีสถานที่ตั้งชัดเจน และติดต่อสะดวกเพื่อให้เจ้าของสุนัขสามารถติดต่อสอบถามได้หรือมีเว็บไซต์ แสดงรูปภาพและข้อมูลสุนัขที่เก็บมาเลี้ยงไว้เพื่อให้เจ้าของสุนัขสามารถตรวจ สอบหาสุนัขที่หายไปได้ ดังนั้น จึงยังไม่เห็นด้วยกับการฝัง “ ไมโครชิฟ ” เพียงเพื่อป้องกันสุนัขหลงทางและเห็นว่าการฝังไมโครชิฟ เพื่อใช้ประโยชน์ในการตามหาสุนัขนั้น ควรเป็นเรื่องของการสมัครใจของเจ้าของสุนัขเองมากกว่าเช่นเดียวกัน ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับการบังคับฝัง “ ไมโครชิฟ ” ในสุนัขเพียงเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาที่เจ้าของสุนัขทิ้งขว้างสุนัขของตนให้กลาย เป็นสุนัขเร่ร่อย เพราะถ้าหากผู้เลี้ยงทราบตำแหน่งของการฝังแล้ว การผ่าผิวหนังเพื่อนำชิ้น “ ไมโครชิฟ ” ขนาดเม็ดข้าวสาร ออกจากตัวสุนัขสามารถกระทำเองได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะทิ้งขว้างจริง คงไม่มีความเมตตา หรือสนใจถึงความเจ็บปวดของสุนัขจากการผ่าเพื่อนำชิ้น “ ไมโครชิฟ ” ออกจากตัวสุนัขก่อนทิ้งขว้าง แล้วแจ้งว่าสุนัขตายหรือหายไป ดังนั้นการบังคับฝัง “ ไมโครชิฟ ” อาจจะไม่ก่อประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่รอ่นที่มาจากการทิ้งขว้างสุนัข เลย นอกจากนี้ การฝัง “ ไมโครชิฟ ” กับสุนัขเร่ร่อนนั้น นับว่าเป็นการสูญเปล่าที่ไม่เห็นน่าจะได้ประโยชน์จากการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ ร่อนเลย
ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่ารัฐควรน้อมรับกระแสพระราชดำรัสฯ มาไตร่ตรองเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมมารองรับการแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อน ยก ตัวอย่างเช่น การปลูกจิตสำนึกให้คนไทยมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อการเลี้ยงสุนัข การส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐนำสุนัขเร่ร่อยมาฝึกเพื่อใช้ในการราชการ และอาจรวมไปถึงการใช้งานในภาคเอกชน หรือส่วนบุคคล รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนเจ้าของที่จะช่วยอุปการะสุนัขเร่ร่อน เช่น การทำหมันฟรีก่อนรับสุนัข การบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้สุนัขเร่ร่อนที่ได้รับอุปการะในราคาถูกเป็นประจำทุกปี ด้วยเหตุนี้การแก้ไขปัญหาสุนัขเร่ร่อนจึงเป็นงานของทุกคนในสังคม ถ้าคนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความจำเป็นของการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้ความสนับสนุนร่วมมือ ร่วมใจกันอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงเพียงความรู้สึกพึงพอใจหรือเพียงเพื่อประโยชน์เล็กน้อยส่วน ตัว ความสำเร็จของการแก้ไขปัญหาจากสุนัขเร่ร่อนจะเป็นความจริงขึ้นมาได้โดยเร็ว
บทความข้างต้นเป็นบทความที่มีมุมมองน่าสนใจในการแก้ในปัญหาสุนัขเรร่อน เป็นที่ทราบกันดีว่าต้นเหตุของสุนัขจรจัดเกิดจากการขาดความรับผิดชอบของตน อย่างไรก็ตามการสร้างสำนึกและความรับผิดชอบและการกำจัดสุนัขจรจัดให้หมดไปก็เป็นไปไม่ได้ตราบใดที่ยังมีการขยายพันธุ์หรือมีคนนำมาปล่อยเพิ่มในขณะเดียวกันจำนวนสุนัขแต่ละพื้นที่ก็มีส่วนป้องกันม่ไให้สุนัขอื่นเข้ามาอาศัยนอกจากสุนัขที่เกิดจากฝูงเดียวกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดจึงเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อน และการนำสุนัขไปทำลายไม่ใช้วิธีที่ได้ผลและไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม เพราะที่ผ่านมามีการกำจัดสุนัขจรจัดด้วยการทำลายปีละ 4-5 หมื่นตัวแต่ยังคงมีผู้นำมาปล่อยบวกกับการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ปัละ 4-5 หมื่นตัวทุกปี การทำลายสุนัขจึงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา
ที่มา
วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
